วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จะจำได้อย่างไร

เมื่อซักครู่ได้ดูรายการปากโป้ง ทางช่อง8 เกี่ยวกับอาการป่วยของ สาวมาด เมกะแดนซ์ นอนป่วยด้วยอาการครรภ์เป็นพิษ เธอนอหลับไปเพราะกาการป่ายนานนับเดือน ระหว่างที่นอนหลับอยู่นั้นก็ฝันไป[หรืออาจจะเป็นเรื่องจริงก็ไม่รู้] ต่างๆ นาๆ สุดท้ายเธอสามารถต่อสู้จนเอาชนะอาการป่วย ตื่นขึ้นมา หลังจากนอนหลับนับเดือน ตอนมาออกรายการดูท่าทางยังเบลอๆ บางเรื่องก็จำไม่ค่อยได้ เช่นก่อนล้มป่วยเป็นต้น ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่านี่เธอนอนแค่เดือนเดียวยังเบลอได้ขนาดนี้ แล้วคนเราขณะที่นอนตายวิญญาณออกจากร่าง แล้วจุติใหม่ในครรภ์ของแม่คนใหม่ เรานอนคุดคู้อยู่นานถึง 9 เดือน พอคลอดออกมาก็ถูกสัญชาตญา๊ณความเป็นทารกครอบงำ ต้องเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ของโลกมนุษย์ แล้วเราคิดว่าเราจะจำเรื่องราวก่อนที่เราตายได้อย่างไร

สาเหตุที่เขียนเรื่องนี้ก็เพราะอยากเตือนใจให้เราคิดดี ทำดี อย่าคิดว่าเรา้เกิดมาแค่ครั้งเดียว ชาติเดียว แล้วไม่สาชนใจอะไร หรือไม่สนใจใคร วันเวลามันผ่านไปเร็วนัก หรือถ้าท่านคิดแบบนั้นก็โปรดคิดดูใหม่เถิด

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ท่านได้อะไรเมื่อไปงานศพ

ใกล้ครบปีแล้วสำหรับการจากไปของคุณแม่ นั่งมองวีดีโอที่ตัวเองทำแล้วคิดถึงจับใจ พลางคิดขึ้นว่าชีวิตเรานี้หนอช่างสั้นนัก เกิดมาแล้วก็ต้องตาย คนที่อยู่ก็อยู่อย่างยากเย็นแสนเข็น นึกถึงช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ และวาระสุดท้ายของท่านก็เลยได้บทความนี้มา เตือนใจสำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่

"ท่านได้อะไรเมื่อไปงานศพ?"
มองให้เห็น
หีบศพอันสวยงาม ความจริงภายในหีบนั้น มีร่างศพอันเป็นร่างกายของคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งก็มีชีวิตมีความเป็นอยู่เช่นกับเราท่านทั้งหลาย แต่บัดนี้เหลือแต่ร่างกายที่ขาดความรู้สึกทางวิญญาณที่เขาใส่หีบไว้เพื่อรอเผาตามธรรมเนียม อันนี้ก็ถือเป็นเครื่องเตือนจิตของเรา ถ้าเรามาเฉยๆไม่รู้จักคิดก็เรียกว่า มาเปล่าไปเปล่าได้แต่บุญ แต่ยังไม่ได้กุศลคือความฉลาด

ได้เห็นน้ำใจ
สิ่งแรกที่ท่านจะได้เห็นก็คือ น้ำใจ เพราะอย่างน้อยท่านก็คือผู้หนึ่งที่หลั่งน้ำใจให้กับเจ้าภาพที่ต้องมีความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ทำไมเราต้องไปงานศพของผู้นั้น ก็เพราะเป็นความดีของท่านผู้จากไปอย่างหนึ่ง ก็เพราะน้ำใจของท่านผู้อยู่อย่างหนึ่ง ถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า น้ำบ่อน้ำคลองก็ยังเป็นรองน้ำใจ น้ำไหนๆก็สู้น้ำใจไม่ได้ ฉะนั้นเราควรที่จะหลั่งน้ำใจให้กันในยามที่ประสบทุกข์ดังนี้ คือ...

ยามจน
ในยามที่ชีวิตเกิดความขัดสนตกอับ ถ้าได้รับน้ำใจกำลังใจและช่วยเหลือจากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือคนที่รู้จักมักคุ้นกันช่วยเหลือแล้ว จะทำให้เขาผู้นั้นรู้สึกว่าชีวิตยังมีความหวัง เรายังมีคุณค่าที่คนอื่นเห็นความสำคัญ ทำให้เขาพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆได้อย่างเข้มแข็งและมีกำลังใจ

ยามเจ็บ
ในยามเจ็บป่วยถ้าได้รับน้ำใจกำลังใจจากคนใกล้ชิด ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจที่ดี ถ้าคนที่เป็นพ่อเป็นแม่เจ็บป่วยในบางคราวได้เห็นหน้าลูกหลานมาปรนนิบัติพัดวี บีบนวด อาการเจ็บป่วยก็จะบรรเทาเบาบางลงได้ น้ำใจที่ได้รับในขณะนี้จึงถือเป็นยาวิเศษขนานเอกของชีวิต

ยามจาก
การจากกันไปในที่ต่างๆยังมีโอกาสที่จะได้พบกัน แต่การจากไปอย่างไม่มีวันกลับย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้พบกันอีก เราจึงต้องแสดงออกซึ่งน้ำใจให้ทั้งกับท่านผู้จากไปและท่านผู้ยังอยู่คือเจ้าภาพ ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะขวัญเสีย เศร้าโศก เสียใจ แต่เมื่อได้เห็นน้ำใจจากผู้คนหลายท่านที่ไปร่วมงานย่อมคลายความเศร้าเสียใจลงได้

ได้เห็นไมตรี
คนที่กำลังอยู่ในสภาพของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เมื่อได้เห็นไมตรีจิตที่ดีจากผู้คนที่รู้จักกันทั้งหลายย่อมจะจดจำความรู้สึกที่ตัวเองได้รับน้ำใจไมตรีจากท่านได้อย่างไม่รู้จบ เมื่อถึงคราวที่เขาจะได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจไมตรีคืนบ้างไม่ว่าในโอกาสไหนๆก็จะทำอย่างไม่รอช้า

ได้เห็นความดี
ในวาระสุดท้ายของชีวิตของคนผู้หนึ่ง จะทำให้เราได้เห็นความดีคือความกตัญญูกตเวทีของญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความโศกเศร้าอาลัยหาในท่านผู้จากไป พร้อมใจกันประกอบพิธีบุญในทางศาสนา รวมถึงการบริจาคให้สาธารณกุศลต่างๆเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับท่านผู้จากไป

ได้เห็นความสามัคคีปรองดอง
เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งมาถึงสถานีสุดท้ายของชีวิตเรามักจะเห็นได้ว่า วงศาคณาญาติจะมีความสามัคคีปรองดองกัน ถึงแม้ในยามที่มีชีวิตอยู่อาจจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างแต่เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ควรให้นึกเสียว่า ร่มเงาของใครอื่นหรือจะร่มเย็นเหมือนร่มเงาของญาติทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกันไม่ทอดทิ้งนิ่งดูดาย ย่อมจะทำให้สัมพันธภาพในวงศามีความเข้าใจรักใคร่กันมากขึ้น

ได้มองเห็นสัจธรรม
เป็นสัจธรรมของชีวิตข้อที่ว่า ทุกคนเกิดมาล้วนมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นอย่าได้เกิดความประมาทมัวเมาหลงใหลในชีวิต ในความไม่มีโรคในทรัพย์สมบัติที่ท่านมีอยู่ แต่จงฉุกคิดว่า เรามาวันนี้เพื่อเผาคนอื่น ในวันหนึ่งเราก็ต้องถูกเขาเผาบ้าง หรือให้คิดตามคติธรรมที่มีแฝงอยู่ในตัวของงานอยู่แล้ว เช่น...

- ธูปดอกเดียว ชีวิตของมนุษย์ทุกผู้นามที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นของสั้นนัก ไฟที่เริ่มจุดธูปเมื่อไหร่ก็เหมือนกับชีวิตที่มีความตายเริ่มติดตามตั้งแต่ตอนนั้น กลิ่นหอมของธูปก็เหมือนกลิ่นแห่งความดีงามที่ล่องลอยอยู่ในโลก กลิ่นแห่งความดีงามย่อมส่งกลิ่นหอมอยู่นานทวนลมอยู่เสมอ ชีวิตที่ไร้ความดีก็ไม่ต่างอะไรกับธูปที่ไร้กลิ่นดำรงอยู่เพียงเพื่อรอความตายไม่เคยรู้จักเลยว่าความดีเขาทำกันอย่างไร

- เหรียญใส่ปาก หลังจากอาบน้ำให้ศพเสร็จ ญาติพี่น้องมักจะเอาเหรียญใส่ในปากศพ อาจจะมีบางคนเข้าใจว่าที่เอาใส่นั้น เพื่อให้ผู้ตายมีเงินติดตัวไว้ใช้กลางทาง หรือเอาไว้ติดสินบนให้กับนายนิรยบาลเหมือนในโลกมนุษย์ แต่ที่แท้แล้วเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งที่ควรจะมองให้เห็นโดยเฉพาะลูกหลานในเวลาเก็บกระดูกเราก็จะเจอเหรียญอันนั้น อันแสดงว่า แม้แต่เหรียญที่เราเอาใส่ปากให้ไปยังไม่สามารถที่จะนำติดตัวไปได้

- อาหารข้างโลง อาหารที่เราจัดใส่ถาด-ภาชนะอย่างดี อาหารก็ล้วนแต่เป็นอาหารที่ผู้ตายโปรดปรานนำไปวางไว้ข้างโลงเสร็จแล้วก็เคาะบอกว่า คุณ...ทานข้าวนะ แต่ก็ไม่มีการขานตอบแต่อย่างใด อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า คนที่ตายแล้วย่อมหมดโอกาสที่จะลุกขึ้นมากินอาหารที่ลูกหลานจัดมาให้แล้วตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ทำเช่นนี้หรือไม่ลองทบทวนดู

- เคาะข้างโลง เวลาพระท่านสวดก็จะไปเคาะข้างโลงว่า รับศีลนะ ฟังพระสวดนะ แล้วศพที่นอนตายอยู่นั้นไม่มีความรู้สึก อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า คนเราจะมีโอกาสได้ทำความดีก็ต่อเมื่อมีชีวิตอยู่เท่านั้น ต่อเมื่อตายแล้วปลุกให้มารับศีลก็รับไม่ได้ แล้วตัวของท่านจะเริ่มทำความดีกันเมื่อไหร่ วันนี้ วันไหน หรือจะรอจนกว่าไม่มีโอกาส

- พระนำทาง ตอนเวลาใกล้จะเผา เขานำศพมาวางไว้บนเมรุก็จะมีพระนำทาง ก็เท่ากับสอนคนเป็นให้รู้จักได้คิดว่า เราอยู่ในโลกนี้อย่าทิ้งธรรม อย่าทิ้งศาสนา ต้องเดินตามพระ คือ ธรรมะไว้อย่าเดินตามมาร เพราะพระหรือธรรมะนั้นเป็นเหมือนแสงสว่างที่นำทางแห่งชีวิต ใครที่ทิ้งพระธรรมไม่มีศาสนาประจำจิต ก็เป็นคนมืดบอดตกอยู่ในอำนาจของฝ่ายต่ำได้ง่าย เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

--------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่มา : จากแผ่นพับ ท่านได้อะไรเมื่อไปงานศพ โดย เลี่ยงเชียง